ปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่ต่างใช้ชีวิตเร่งรีบอยู่ตลอด ทั้งตื่นเช้าไปทำงานให้ทันเวลา แต่ดันเจอรถติด ประชุมเกินเวลา ปั่นงานหัวหมุนตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างการ “กินข้าว” ไปเสียสนิท พฤติกรรมคุ้นชินเหล่านี้… อาจกำลังทำร้ายคุณอยู่ไม่รู้ตัว! “กินไม่เป็นเวลา กินน้อยเกินไป” ไม่เพียงแต่ทำให้เราหิวเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ วันนี้เราจะมาบอก 4 ข้อเสียที่มาพร้อมกับการกินอาหารไม่ตรงเวลามาฝาก จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย กินไม่เป็นมื้อ กินแล้วนอน เป็นสาเหตุอันดับต้นๆ ของ “กรดไหลย้อน” โรคสุดแสนจะฮิตของคนไทย ผู้ป่วยต้องทรมานจากอาการแสบร้อนกลางอก ท้องอืด เรอเปรี้ยว คลื่นไส้ หากปล่อยไว้นานๆ อาจถึงขั้นเป็นโรคกรดไหลย้อนเรื้อรังได้    การกินข้าวไม่เป็นเวลาที่มาพร้อมกับภาวะเครียดสะสมอาจส่งผลกระทบถึงลำไส้ โดยปกติแล้วเมื่อเรากินอาหารเข้าไป ร่างกายจะหลั่งน้ำย่อยออกมาเพื่อย่อยอาหาร แต่ถ้าไม่มีอาหารให้ย่อยก็อาจทำให้เป็นแผลในกระเพาะอาหารและร้ายแรงถึงเป็นมะเร็งได้    หากไม่ได้กินข้าวระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลง เมื่อร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตก็จะไม่มีพลังงานมากพอในการใช้ชีวิต ส่งผลให้เราอยากอาหารมากขึ้น และเมื่อได้กินมื้อถัดไปก็จะกินในปริมาณมากเกินปกติ  ทำให้เสี่ยงโรคอ้วนและเบาหวาน เมื่อกินข้าวไม่เป็นเวลาจะทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติ ร่างกายจะเผาผลาญได้น้อยลง จนท้ายที่สุดระบบต่าง ๆ ในร่างกายจะเสียสมดุล  “กินข้าวไม่ตรงเวลา” แก้ได้! กินอาหารไม่ตรงเวลาหรืออดอาหารนานๆ นอกจากร่างกายจะเสียสมดุลและเสี่ยงโรคมากขึ้นแล้ว น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย เพราะการอดอาหารจะทำให้เราหิวมากกว่าเดิม และเมื่อเราได้ทานมื้อถัดไปก็อาจเผลอกินมากกว่าปกติ เราสามารถหยุดนิสัยเหล่านี้ได้โดยการ พยายามกินมื้อเช้าเพราะเป็นมื้อที่สำคัญและเป็นแหล่งพลังงานของวัน…

 “ท้องผูก” หรือ “ถ่ายไม่ออก” เกิดจากการที่ลำไส้ของเรา บีบตัวช้าลง ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายอุจจาระและของเสียออกจากร่างกายได้เท่าที่ควร เมื่อปล่อยไว้นานเข้า ร่างกายของเราจะมีกลไกการดูดกลับน้ำในอุจจาระ ทำให้อุจจาระแข็ง ถ่ายยาก เกิดภาวะอุจจาระตกค้างในลำไส้ สร้างปัญหาต่อระบบขับถ่าย ตลอดจนปัญหาสิว ผิว และกลิ่นต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายและการใช้ชีวิตของเราอย่างมากเลยทีเดียว “ท้องผูก” อันตรายไหม ?        บางคนคิดว่าท้องผูก เป็นอาการที่ไม่มีอันตรายใด ๆ แต่รู้หรือไม่ “ท้องผูก” ถ่ายยาก อันตรายมากกว่าที่คุณคิด ! เพราะ ท้องผูก นอกจากจะส่งผลให้เกิดความรำคาญ อึดอัด แน่นท้องแล้ว ยังส่งผลเสียให้เกิดการสะสมของเสียในร่างกาย ที่มีผลต่อการเพิ่มขึ้นของน้ำหนักตัว และยังทำให้เรามีกลิ่นตัว กลิ่นปาก หรือกลิ่นที่จุดซ่อนเร้น นอกจากนี้ การที่เรามีของเสียสะสมในร่างกาย ยังทำให้ภูมิคุ้มกันของเราทำงานหนักมากขึ้น หากปล่อยไว้นาน ๆ จนเกิดภาวะท้องผูกเรื้อรัง ยังเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ที่อาจตามมาได้ เช่น โรคลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร หรือมะเร็งลำไส้อีกด้วย  วิธีแก้อาการ…

         ในยุคที่คนรุ่นใหม่เริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้น ‘อาหารไขมันต่ำ’ นับว่าเป็นทางเลือกเพื่อสุขภาพ หลายคนกังวลเกี่ยวกับตัวเลขของแคลอรี่บนฉลาก โดยลืมนึกถึงปริมาณ ‘น้ำตาล’ ที่แฝงอยู่ในอาหาร โดยเฉพาะน้ำตาลเทียมที่หลอกให้เราเชื่อว่าทดแทนความหวานได้ ทั้งที่จริงแล้วหากรับประทานเข้าไปในปริมาณมาก ก็อาจส่งผลเสียที่แย่กว่าเดิมเข้ากลับสู่ร่างกาย วันนี้เรามี 5 อาหารที่ขึ้นชื่อว่า ‘แคลอรี่ต่ำ’ แต่จริงๆ แล้วมีน้ำตาลแฝงสูงปรี๊ดมาฝาก ซีเรียล ได้แก่ ซีเรียลสูตรหวาน เช่น รสช็อกโกแลต รสสตรอว์เบอร์รี ควรระวัง : น้ำตาลจากน้ำเชื่อมข้าวโพด และน้ำผึ้งที่เคลือบซีเรียลควรเลือก : ซีเรียลที่มีธัญพืชและถั่วเป็นส่วนประกอบหลัก กาแฟสำเร็จรูป ได้แก่ กาแฟกระป๋องหรือกาแฟขวดสำเร็จรูป ควรระวัง : น้ำตาลจากครีมเทียม น้ำตาลทราย และนมข้นควรเลือก : กาแฟดำไม่ใส่น้ำตาล โยเกิร์ต ได้แก่ โยเกิร์ตรสผลไม้ และมีท็อปปิ้งเพิ่มเติม ควรระวัง : น้ำตาลจากนมวัวและกระบวนการหมัก โยเกิร์ตส่วนใหญ่มีน้ำตาลมากเกินไปเมื่อเทียบกับคุณค่าทางโภชนาการควรเลือก : โยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือสูตรเติมน้ำตาลน้อย น้ำสลัดไขมันต่ำ ได้แก่…

“ตาไม่สู้แสง” มักเกิดขึ้นจากภาวะผิดปกติทางตา เช่น การระคายเคือง ม่านตาหรือเยื่อบุตาอักเสบ หรือเกิดจากการใช้สายตามากจนทำให้เกิดอาการตาแห้ง ระคายเคือง จนทำให้เกิดอาการ “ตาไม่สู้แสง” นั่นเอง ผู้ที่มีอาการ “ตาไม่สู้แสง” จะมีความรู้สึก “แสบตา ตาแห้ง เคืองตา รู้สึกไม่สบายตา” มักมีอาการเมื่อต้องใช้สายตากับ แสงแดด หรือแสงจากหน้าจอ โดยทั่วไปแล้ว จะมีอาการเพียงชั่วขณะ และค่อย ๆ หายกลับเป็นปกติ แต่หากปล่อยไว้นาน และมีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะต่าง ๆ ทางดวงตาตามมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในระยะยาวได้ ผู้ที่มีความเสี่ยง “ตาไม่สู้แสง” วิธีรับมือกับอาการ “ตาไม่สู้แสง” “ตาไม่สู้แสง” คุณสู้ได้ ! ด้วยลูทีน ซีแซนทีน และวิตามินเอ สารสกัดหลักใน YesCareดูแลดวงตาให้ดีด้วย “เยสแคร์” ผลิตภัณฑ์วิตามินรวม สารสกัดจากบิลเบอร์รี่และดอกดาวเรือง มีลูทีน ซีแซนทีน และวิตามินอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อสายตาและร่างกายในองค์รวม ที่มีส่วนช่วยในการปกป้องจอประสาทตา กรองแสงสีฟ้าและรังสี UV ที่เข้ามาทำร้ายดวงตา มีส่วนช่วยคงสภาพปกติของระบบภูมิคุ้มกันและการมองเห็น…

       ท้องผูก พุงป่อง ลำไส้แปรปรวน ปัญหากวนใจที่ใครหลายคนต้องพบเจอบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน จนต้องเริ่มมองหาวิธีการ ‘ดีท็อกซ์’  วันนี้เรามีทริคแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาในการทำดีท็อกซ์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด และแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุดมาฝาก ดีท็อกซ์ (Detox) คืออะไร?      ดีท็อกซ์ เป็นวิธีการขจัดสารพิษและสิ่งตกค้างต่างๆ ออกจากร่างกาย ช่วยลดการสะสมของเสียรวมถึงเชื้อโรคที่อาจนำพาไปสู่ปัญหาสุขภาพและการเจ็บป่วยได้ง่าย      การทำดีท็อกซ์สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น ปรับวิธีการทานอาหาร สวนล้างลำไส้ และการอดอาหาร    รู้หรือไม่? การดีท็อกซ์ให้ถูกเวลา ได้ผลดีกว่าที่คิด! ช่วงเช้า เวลา 00-12.00 น. ตอนท้องว่างก่อนทานมื้อเช้า เหมาะสำหรับผู้ต้องการดีท็อกซ์เพื่อลดน้ำหนัก ลดพุงป่อง ช่วงบ่าย เวลา 00-15.00 น. เหมาะสำหรับผู้ต้องการดีท็อกซ์เพื่อช่วยกระตุ้นการย่อยในลำไส้เล็ก ช่วงเย็น ก่อนเข้านอน เหมาะสำหรับผู้ต้องการดีท็อกซ์เพื่อลดน้ำหนัก และกระตุ้นระบบย่อยอาหาร ประโยชน์ของการดีท็อกซ์ 1. แก้ปัญหาท้องผูก ขับถ่ายยาก  2. บรรเทาอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ลำไส้แปรปรวน   3….

       “ท้องเสีย” หรือ “ท้องร่วง” คือ ภาวะที่เรามีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งภายในระยะเวลาไม่กี่ชั่วโมง หรือ ภายใน 1 วัน สำหรับอาการ “ท้องเสีย” มักเกิดขึ้นเมื่อระบบทางเดินอาหาร หรือลำไส้ของเรามีปัญหาในบางคน พบว่าตัวเองมีอาการ “ท้องเสีย” บ่อยครั้ง แต่คิดว่าไม่เป็นอะไร แค่นอนพัก หรือทานยาเดี๋ยวก็หาย แต่รู้หรือไม่? ท้องเสียบ่อย อันตรายมากกว่าที่คิด เพราะ เป็นสัญญาณของความผิดปกติในลำไส้ และยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคที่จะตามมาได้อีกด้วย      ท้องเสียอันตรายอย่างไร?       เมื่อเรา “ท้องเสีย” ร่างกายจะสูญเสียน้ำ รวมไปถึงวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญ ทำให้คนที่ “ท้องเสีย” มีลักษณะใบหน้าซีดเซียว ร่างกายดูอ่อนเพลีย ในบางคนถึงกับขั้นเป็นลมเป็นแล้ง หรือหนักเข้า สามารถเกิดอาการ “ช็อก” หมดสติไปเลยก็มี นอกจากนี้ หาก “ท้องเสีย” บ่อย ก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกความเสี่ยงต่อการเกิดโรคในลำไส้ ไม่ว่าจะเป็น ลำไส้แปรปรวน ท้องเสียเรื้อรัง เนื้องอกและมะเร็งในลำไส้…

อาการหน้ามืด วูบหมดสติ ที่มักเกิดขึ้นกับใครหลายๆคน สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะของร่างกายที่กำลังอ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อยจากการใช้ชีวิตประจำวัน พักผ่อนไม่เพียงพอ คนส่วนใหญ่มักมองข้ามความน่ากลัวและรักษาเพียงอาการเบื้องต้น ไม่ได้ใส่ใจถึงต้นตอที่แท้จริง ไม่ทันได้ระวังถึงภัยแฝงที่อาจมาพร้อมกับอาการวูบในรูปแบบต่างๆ ซึ่งนั่นอาจเป็นสัญญาณอันตรายของ ‘โรคร้าย’ ที่คุณอาจกำลังเผชิญอยู่ ภาวะวูบหมดสติเสี่ยงโรคร้ายอะไรบ้าง? ทำอย่างไรเมื่อรู้สึกวูบหมดสติ? การดูแลเบื้องต้นเมื่อพบเห็นคนวูบหมดสติ อาการวูบแบบไหนที่ควรรีบพบแพทย์? หากรู้ตัวว่าตนเองมีอาการวูบบ่อยและอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ต้องรีบพบแพทย์ ควรเข้ารับคำแนะนำเพื่อตรวจหาภาวะแทรกซ้อนในร่างกาย สำหรับคนที่ไม่ได้มีอาการรุนแรงให้ทำการรักษาอาการเบื้องต้นไปก่อน  อย่ามองข้ามอาการวูบเล็กๆน้อยๆ ของตัวเอง ทำความเข้าใจอาการเหล่านี้ให้ดี เพื่อลดโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคร้ายในตัวคุณ “วูบบ่อย หน้ามืด บ้านหมุน” อาจเป็นสัญญาณเตือนจากโรคร้าย​ เฝ้าระวังตัวเองและผู้สูงอายุในบ้านอย่างใกล้ชิด​ มองหาตัวช่วยดีๆ อย่าง Asta Oil ดูแลคนที่คุณรัก โปรโมชั่นพิเศษ สุขภาพดีได้จากภายใน

ในโลกยุคปัจจุบัน ที่ทุกคนมี “สมาร์ตโฟน” เป็นเหมือนอวัยวะที่ 33 ของร่างกาย ยิ่งทำให้ภาวะ “ตาแห้ง” กลายเป็นปัญหาใกล้ตัวกับคนยุค “ดิจิทัล”

        กระแสรักสุขภาพเริ่มกลับมาฮอตฮิตอีกครั้ง ใครๆ ก็อยากมีรูปร่างที่ดี หุ่นที่เป๊ะปัง เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้สุขภาพดี แต่ยังเพิ่มความมั่นใจได้อีกด้วยวิธี IF (Intermittent Fasting) หรือการจำกัดช่วงเวลาการกินในแต่ละวัน จึงเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกในการลดน้ำหนัก แต่คำถามที่พบบ่อยคือ ถ้าเป็น “กรดไหลย้อน” หรือ “โรคกระเพาะ” อยู่ล่ะ จะสามารถทำได้ไหม? จะส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือเปล่า?    วันนี้เรามีคำตอบ  ข้อดีของการทำ IF          การลดหรือจำกัดเวลาในการรับประทานอาหารในช่วงหนึ่ง ทำให้ร่างกายได้ดึงพลังงานจากไขมัน  ที่สะสมไว้ในร่างกายมาเผาผลาญ  ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดียิ่งขึ้น        ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบภายในร่างกาย ชะลอวัย ผิวพรรณสดใส ส่งเสริมการทำงานของสมอง         เช่น โรคเบาหวาน  ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และอัลไซเมอร์  ข้อเสียของการทำ IF     …

“ เชื่อว่าใครหลายคน อาจได้ยินกันคุ้นหูหรือเคยได้ยินกันมาบ้าง กับคำว่า สารต้านอนุมูลอิสระ หรือ antioxidant แต่รู้รึป่าว ว่าแท้จริงแล้วสารเหล่านี้เป็นอย่างไร? มีบทบาทแค่ไหนกับชีวิตของพวกเรา? วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสารนี้ให้มากขึ้น” สารต้านอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา เพื่อไม่ให้อนุมูลอิสระนี้สร้างความเสียหายให้กับเซลล์ หรือทำลายระบบภูมิ อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ซึ่งจะส่งผลช่วยชะลอการแก่ชรา ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดระดับคอเรสเตอรอ และความเสี่ยงต่อโรคหลายโรค สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือ สารประกอบที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยต่อต้าน อนุมูลอิสระ ​ แหล่งของอาหารที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กลุ่มของผัก ผลไม้สีเหลืองและสีส้ม เช่น แครอท ฟักทอง มะละกอ แหล่งของ วิตามินเอ  และ เบตาแคโรทีน ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า ผักปวยเล้ง ถั่วลันเตา บร็อคโคลี่ แหล่งของลูทีน ผัก ผลไม้สีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริกหวาน…

โดย John Staughton(ฺBASc,BFA) เอกลักษณ์ของอะเซโรล่าเชอร์รี่ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมีหลากหลาย เช่น ลดริ้วรอยก่อนวัย บำรุงหัวใจ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตส่งเสริมให้ผิวพรรณกระจ่างใส กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย